ทุกวันนี้เราปฏิเสธไม่ได้ว่าผลกระทบจากสงคราม ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย ยูเครน ที่ขยายวงไปสู่วิกฤติพลังงานในทวีปยุโรป เริ่มส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปทุกภาคส่วนทั่วโลก อุตสาหกรรมกระดาษและการพิมพ์ก็เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้งนี้ด้วยเช่นกัน กอปรกับการปิดตัวลงของโรงงานกระดาษหลายแห่งทั่วโลก วิกฤติโควิดที่พึ่งคลี่คลายและความตึงตัวของห่วงโซ่อุปทานที่เกิดจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นหลังจากการเปิดเมือง วันนี้ทางแอดมินจึงได้นำบทความจากนิตยสาร Printweek ของค่ายอังกฤษมาให้อ่านกันนะคะ เพื่อให้เพื่อน ๆ เห็นภาพรวมของสถานการณ์ปัจจุบัน และสามารถนำไปใช้ในการกำหนดกลยุทธ์และวางแผนการทำงานกันต่อได้ค่ะ

วิกฤติพลังงาน กระดาษ ขาดแคลน ยุโรป

อุปสงค์กระดาษกำลังหายไปจากตลาดอย่างรวดเร็ว

ก่อนหน้านี้ทาง Printweek เคยได้ตีพิมพ์บทวิเคราะห์เรื่อง “Navigating the paper supply crisis” ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งได้ชี้ให้เห็นถึงภาพกำลังผลิตที่ปรับลดลงของอุตสาหกรรมการผลิตกระดาษประมาณ 6 ล้านตันต่อปี จากการปิดตัวลงของโรงงานกระดาษหลายแห่งและการแปลงกำลังผลิตกระดาษไปผลิตสินค้าชนิดอื่น ซึ่งกำลังผลิตที่ลดลงนี้ จะเป็นกำลังผลิตเฉพาะในโซนภาคพื้นยุโรป และส่วนใหญ่จะเป็นกระดาษกลุ่มพิมพ์เขียนและฉลาก ทั้งนี้บทความดังกล่าวเป็นบทความที่ตีพิมพ์ในช่วงเริ่มต้นของสงครามรัสเซีย ยูเครน ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่รวมผลกระทบจากการปิดโรงงานกระดาษอีกหลายแห่งในประเทศคู่ขัดแย้ง

รวมไปถึงในช่วงที่ผ่านมา ยังมีการประท้วงหยุดงานที่โรงงาน UPM ประเทศฟินแลนด์ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณกระดาษในยุโรป ที่ปรับลดลงอย่างมาก

วิกฤติพลังงานในยุโรปช่วยซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงอีก

จากการที่ผู้จำหน่ายและลำเลียงก๊าซธรรมชาติให้แก่ประเทศยุโรป Gazprom ของรัสเซียตัดสินใจจำกัดการส่งก๊าซผ่านท่อลำเลียง Nord Stream 1 ส่งผลกระทบให้นานาประเทศในทวีปยุโรปประสบปัญหาด้านพลังงานอย่างหนัก บางประเทศ รวมไปถึงประเทศเยอรมนี ได้พิจารณามาตรการด้านพลังงานต่าง ๆ ซึ่งอาจส่งผลให้หลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่อุตสาหกรรมเคมี อะลูมิเนียม และกระดาษ อาจถูกบังคับปิดลง

และ ณ เดือนมิถุนายน เยอรมนีก็เข้าสู่สถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงานในระดับที่ 2 จาก 3 ระดับ โดยประเทศนี้มีกำลังการผลิตกระดาษที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และเคยเป็นผู้นำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียมากถึง 55% จึงเป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่งกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ ขณะนี้

ผู้ผลิตกระดาษสัญชาติเยอรมนี Feldmuehle ต้องเปลี่ยนแหล่งพลังงานจากก๊าซธรรมชาติเป็นน้ำมันเตาในระยะเวลาสั้น ๆ อันสืบเนื่องมาจากวิกฤติพลังงาน ซึ่งต้องการการลงทุนเพิ่มกว่า 2.6 ล้านยูโร และนี่เพียงแค่โรงงานกระดาษ 1 แห่งที่มีกำลังการผลิต 250,000 ตันต่อปี

ในตลอดช่วงหน้าร้อน Norske Skog ได้ตัดสินใจที่จะหยุดกำลังการผลิตชั่วคราวที่โรงงานในประเทศออสเตรียตั้งแต่เดือนมีนาคม โดยให้เหตุผลว่าต้นทุนสินค้าและค่าพลังงานมีแนวโน้มที่จะ “อยู่ในระดับที่สูงและผันผวนเป็นอย่างมาก” ตลอดครึ่งปีหลังของปี 2022 

“การทำงานภายใต้สภาวะการณ์ที่มีความผันผวนสูง โดยเฉพาะปัจจัยด้านพลังงาน อาจส่งผลให้เกิดการหยุดการผลิตชั่วคราว หรือการปิดตัวลงอย่างถาวรของผู้เล่นในอุตสาหกรรมนี้” กลุ่มตั้งข้อสังเกต

ผู้ผลิตกระดาษกล่องลูกฟูกขนาดใหญ่ Smurfit Kappa ตัดสินใจตัดกำลังการผลิตลง 30,000 – 50,000 ตัน ในเดือนสิงหาคม เนื่องจากราคาพลังงานปัจจุบัน ไม่มีความเหมาะสมในการผลิต

อุตสาหกรรมนี้ควรต้องได้รับความสำคัญมากขึ้น

สหพันธ์อุตสาหกรรมกระดาษแห่งยุโรป Cepi ได้ออกมาเตือนว่า การหยุดชะงักของแหล่งพลังงานจากก๊าซธรรมชาติจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อภาคการขนส่งทั่วทั้งทวีปยุโรป รวมไปถึงกระดาษบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขอนามัยที่จำเป็นอื่น ๆ อีกมาก

ผู้อำนวยการ Cepi, Jori Ringman, เชื่อว่าอุตสาหกรรมกระดาษและเยื่อควรได้รับความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ เนื่องจากผลิตภัณฑ์จากกระดาษเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน

กระบวนการรีไซเคิลในอุตสาหกรรมกระดาษเกือบทั้งหมดยังคงพึ่งพาแหล่งพลังงานจากก๊าซธรรมชาติ ดังนั้น มาตรการจำกัดการใช้ก๊าซอาจทำให้เกิดการชะงักงันในการบริหารจัดการเศษขยะรีไซเคิล เพื่อที่จะส่งต่อไปสู่การนำไปผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์จากขยะรีไซเคิลต่อไปได้

“เราขอเรียกร้อง ภาครัฐหามาตรการดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าอุตสาหกรรมของเรายังคงสามารถผลิตและนำส่งสินค้าจำเป็นในช่วงเวลาวิกฤตินี้ได้” Jori กล่าว

การให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมการผลิตกระดาษและเยื่อ ไม่ใช่เพียงแค่เป็นหลักประกันความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับประชาชนในสหภาพยุโรปในปัจจุบันเพียงเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการยึดมั่นในบทบาทและหน้าที่ของการเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น สำหรับระบบเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปในอนาคต

ไม่ใช่เพียงแค่ในภาคพื้นทวีปที่ได้รับผลกระทบ อุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานเข้มข้นในเกาะอังกฤษ ก็กำลังดิ้นรนกับราคาพลังงานที่ถีบตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

พอร์เทอส์ ผู้ผลิตกระดาษรายหนึ่ง เผยว่าราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ตัดสินใจยุติการดำเนินการโรงงานผลิตกระดาษธนบัตรโอเวอร์ตัน ที่เมืองแฮมเชอร์ 

Andrew Large อธิบดีสมาพันธ์อุตสาหกรรมกระดาษ รู้สึกยินดีที่รัฐบาลได้มีการขอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านพลังงานของอังกฤษในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี เขายังคงเรียกร้องมาตรการที่จับต้องได้ ในห้วงสถานการณ์ที่เร่งด่วนอย่างเช่นในขณะนี้

แน่นอนว่าราคาพลังงาน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคากระดาษปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้บริหาร Sappi, Steve Binnie ให้ความเห็นว่า “มันเป็นเรื่องที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ ที่จะส่งผ่านราคาที่สูงขึ้นตลอดเวลา และสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าก็คือ การที่ราคาสิ่งพิมพ์บนกระดาษปรับตัวสูงขึ้น จะเป็นสิ่งที่เร่งเร้าให้การเปลี่ยนเข้าสู่สื่อดิจิทัลเร็วยิ่งขึ้นในในบางผลิตภัณฑ์

อ้างอิง: https://www.printweek.com/briefing/article/the-paper-market-and-energy-crisis

Related Posts